การใช้งานเครื่องสำรองไฟ (UPS) ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

การใช้งานเครื่องสำรองไฟ (UPS) ที่ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
สำหรับบุคลากรสำนักวิทยบริการ

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว

  • อุณหภูมิสูงเกินไป → ความร้อนเป็นศัตรูหลักของแบตเตอรี่ ทำให้สารเคมีภายในเสื่อมสภาพเร็ว

  • ชาร์จเต็มค้างไว้นานเกินไป → การคงประจุที่ 100% ตลอดเวลาโดยไม่มีการใช้งาน ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าปกติ

  • การใช้งานหนักหรือโหลดเกิน → การต่ออุปกรณ์เกินกำลัง UPS ทำให้แบตเตอรี่ต้องจ่ายกระแสมากเกินไป

  • รอบการชาร์จ-คายประจุที่บ่อยและลึกเกินไป → หากปล่อยให้ไฟหมดบ่อย ๆ แล้วชาร์จใหม่ จะทำให้อายุแบตสั้นลง

  • สภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม → ความชื้นสูง ฝุ่นมาก หรือการระบายอากาศไม่ดี ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน

 

🔋 กรณี UPS ที่ใช้แบตลิเธียมและ เสียบชาร์จตลอดเวลา

โดยปกติ UPS จะ ทำงานแบบ Float Charge คือ

  • แบตจะถูกชาร์จคงที่ให้อยู่เต็ม (เกือบ 100%) ตลอดเวลา
  • ถ้าไฟดับหรือมีปัญหา ไฟจากแบตก็จะจ่ายออกมา
  • พอไฟฟ้ากลับมา ก็จะชาร์จคืนให้เต็มอีก

📌 ผลกระทบถ้าแบตถูกชาร์จเต็มตลอด (ไม่คายประจุเลย)

1. แรงดันสูงตลอดเวลา

  • แบตลิเธียมที่ถูกเก็บไว้ใกล้ ๆ 100% จะอยู่ในสภาวะ แรงดันสูง
  • ส่งผลให้ เสื่อมเร็วกว่า การเก็บไว้ที่ ~50–80%

2. ความร้อน (ถ้ามี)

  • แม้ UPS จะควบคุมอุณหภูมิได้ แต่ถ้ามีความร้อนสะสมในห้องหรือเครื่อง UPS เอง ก็จะเร่งการเสื่อม

3. Cycle ไม่ได้ใช้

  • การเสื่อมไม่ได้มาจาก “รอบการชาร์จ” เท่านั้น แต่ยังมาจาก เวลา + แรงดันสูง + ความร้อน
  • ดังนั้น แม้คุณจะไม่คายประจุเลย แบตก็จะ เสื่อมจากอายุ (calendar aging) อยู่ดี

4. อายุการใช้งานจริง

  • แบตลิเธียมใน UPS แม้ไม่ถูกใช้งาน ก็มักจะเริ่มเสื่อมหลัง 3–5 ปี
  • ผู้ผลิต UPS มักแนะนำให้ ทดสอบคายประจุเป็นระยะ เพื่อรักษาสภาพเซลล์

🎯 สรุปสั้น ๆ

  • UPS ที่ใช้แบตลิเธียมและชาร์จค้างตลอด → แบตจะ เสื่อมตามเวลา (calendar aging) แม้ไม่ได้ถูกใช้จริง
  • ปัจจัยหลักที่ทำให้เสื่อมคือ แรงดันสูงตลอดเวลา และ ความร้อน

วิธีดูแลที่ดีกว่า:
✅ ควรทดสอบไฟดับ/คายประจุออกบ้าง (ทุก 3–6 เดือน)
✅ รักษาอุณหภูมิให้ไม่เกิน 25–30°C
✅ ใช้ UPS รุ่นที่มีระบบ Battery Management System (BMS) ที่จัดการการชาร์จได้ฉลาดกว่า

 

Rating

Average: 5 (1 vote)