แนวทางการพัฒนาคุณภาพวารสารไทยสู่ความเป็นสากล

จากการเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพวารสารไทยในฐานข้อมูลนานาชาติ จัดโดยบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และการสัมมนาเครือข่ายวารสารเพื่อยกระดับสู่ฐานข้อมูลระดับชาติและนานาชาติ จัดโดยวารสารมานุษยวิทยาเชิงพุทธ วัดวังตะวันตก ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 21-20 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 การประชุมและสัมมนาทั้งสองกิจกรรมเป็นการยกระดับคุณภาพวารสารไทยสู่ฐานข้อมูลนานาชาติ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (TCI) และได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ หัวหน้า TCI เป็นวิทยากรหลักในการบรรยายทั้งสองกิจกรรม

ประเด็นสำคัญจากการเข้าร่วมกิจกรรม

  1. การยกระดับคุณภาพวารสารวิชาการสู่ความเป็นสากล (Scopus)
  2. จริยธรรมและจรรยาบรรณของการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ
  3. การพัฒนาระบบ Editorial Review – Peer Review – Decision Making

การยกระดับคุณภาพวารสารวิชาการสู่ความเป็นสากล (Scopus)

scopus2025 1

ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ ได้นำเสนอเกณฑ์หลักในการคัดเลือกวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูล Scopus ซึ่งประกอบด้วยเกณฑ์ 5 ข้อ ดังภาพ

Scopus2025 2

ที่มา: https://www.elsevier.com/products/scopus/content/content-policy-and-selection

การเตรียมวารสารตามเกณฑ์การคัดเลือกวารสารเข้าสู่ฐานข้อมูล Scopus ทั้ง 5 ข้อ

  1. นโยบายวารสาร (Journal policy) ประกอบด้วย วารสารมีนโยบายการตีพิมพ์ที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง วารสารมีการระบุประเภทและกระบวนการประเมินคุณภาพบทความ (Peer Review) วารสารมีกองบรรณาธิการที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์หากวารสารตีพิมพ์เรื่องไทยศึกษากองบรรณาธิการก็ควรเป็นคนไทยทั้งหมด แต่หากวารสารตีพิมพ์เรื่องที่เป็นสากลกองบรรณาธิการก็ควรมาจากหลากหลายประเทศ และวารสารมีบทความจากผู้เขียนหลากหลายประเทศหากวารสารตีพิมพ์เรื่องที่เป็นสากล ไม่ใช่การตีพิมพ์เฉพาะพื้นที่
  2. เนื้อหา (Content) วารสารต้องเตรียมบทความจำนวน 10 บทความ สำหรับประเมินคุณภาพวารสาร Scopus มองว่า หาก 10 บทความที่ส่งให้ประเมินไม่ดี บทความที่เหลือก็ไม่ดีด้วยทั้งหมด เริ่มต้นเป็นการพิจารณาการใช้ภาษาและผลการวิจัย จากนั้นประเมินความมีประโยชน์ทางวิชาการที่ชัดเจนต่อสาขา ความชัดเจนของบทคัดย่อ คุณภาพและความสอดคล้องของบทความกับวัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร และความสามารถในการอ่านและทำความเข้าใจของบทความ (ความชัดเจนของภาพ กราฟ ตาราง และการจัดหน้า)
  3. สถานภาพของวารสาร (Journal Standing) ประกอบด้วย การถูกอ้างอิงของวารสารในฐานข้อมูล Scopus และความน่าเชื่อถือและผลงานตีพิมพ์ของกองบรรณาธิการ (h-index) หากกองบรรณาธิการวารสารมี h-index น้อย แก้ปัญหาด้วยการเชิญกองบรรณาธิการจากต่างประเทศ (ต้องมีหลักฐานการเชิญที่ชัดเจน Scopus ซุ่มตรวจสอบ) ต้องระบุข้อมูลกองบรรณาธิการอย่างครบถ้วน ชื่อสกุล สังกัด อีเมล และความเชี่ยวชาญ
  4. การตีพิมพ์ตามเวลาที่กำหนด (Publishing regularity) วารสารต้องไม่มีความล่าช้าหรือหยุดชะงักในการตีพิมพ์ตามกำหนดกำหนด
  5. การเข้าถึงแบบออนไลน์ (Online availability) วารสารมีการเผยแพร่เนื้อหาฉบับเต็มของวารสารในรูปแบบออนไลน์ มีหน้าเว็บไซต์หลักของวารสารเป็นภาษาอังกฤษ และคุณภาพและความสมบูรณ์ของหน้าเว็บไซต์วารสาร Scopus รู้จักและเชื่อมั่น ThaiJO เนื่องจากอยู่ในความดูแลของ TCI ดังนั้น หากใช้ ThaiJO จะผ่านเกณฑ์ข้อนี้

    จากภาพจะเห็นว่าเกณฑ์การคัดเลือกวารสารของ Scopus โดยภาพรวมคล้ายคลึงกับเกณฑ์การจัดกลุ่มวารสารของ TCI จะมีแตกต่างกันในส่วนของเกณฑ์ความหลากหลายของกองบรรณาธิการและผู้เขียนที่ต้องมาจากนานาชาติสำหรับเกณฑ์ของ Scopus รวมถึงการที่วารสารถูกอ้างอิงจากบทความใน Scopus และกองบรรณาธิการวารสารต้องมีงานตีพิมพ์ที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และนโยบายการตีพิมพ์ของวารสารอย่างต่อเนื่อง

    จากนั้น ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ ได้นำเสนอเกณฑ์การพิจารณาขั้นต่ำก่อนที่วารสารจะเข้าสู่การประเมินทั้ง 5 ข้อ ตามที่กล่าวมา ซึ่งประกอบด้วยเกณฑ์ 4 +16 ข้อ (หากผ่านการดูแลโดย TCI จะไม่มีปัญหาในเกณฑ์ขั้นต่ำนี้)

  1. วารสารต้องมีระบบประเมินคุณภาพบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review)
  2. วารสารต้องออกตรงตามเวลาที่กำหนดและมีหมายเลข ISSN อย่างถูกต้อง (เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาคาราโอเกะ)
  3. บทความมีชื่อเรื่องและบทคัดย่อเป็นภาษาอังกฤษ
  4. วารสารมีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับจริยธรรมการตีพิมพ์และคําชี้แจงการทุจริตเป็นภาษาอังกฤษบนเว็บไซต์

    มาตรฐานการตีพิมพ์ คือ การปฏิบัติตามข้อกําหนดเกี่ยวกับจริยธรรมและการทุจริตในการตีพิมพ์ของวารสาร ประกอบด้วยด้านต่าง ๆ ดังนี้

  1. เว็บไซต์ (Website) เว็บไซต์วารสารต้องแสดงให้เห็นความมีจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ ต้องไม่ลอกเลียนแบบวารสารหรือสำนักพิมพ์อื่น มีการระบุวัตถุประสงค์และขอบเขตการตีพิมพ์อย่างชัดเจน (ข้อนี้สำคัญที่สุดเนื่องจากเป็นตัวตั้งที่ตัวบทความ บรรณาธิการ กองบรรณาธิการต้องสอดคล้องกัน) มีการแสดงเงื่อนไขและขั้นตอนการตีพิมพ์ที่ชัดเจน และมีการแสดงหมายเลข ISSN ของวารสาร
  2. ชื่อวารสาร (Name of journal) ชื่อวารสารจะต้องไม่ซ้ำและไม่ทำให้เกิดความสับสนกับวารสารอื่น ชื่อวารสารไม่ควรเป็นชื่อหน่วยงานหรือมหาวิทยาลัย ชื่อวารสารควรสื่อความหมาย วัตถุประสงค์ และขอบเขตการตีพิมพ์ของวารสาร
  3. การประเมินคุณภาพบทความ (Peer review process) วารสารต้องอธิบายขั้นตอนการประเมินคุณภาพบทความโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขาไว้อย่างชัดเจนบนเว็บไซต์ วารสารไม่ควรรับประกันการตอบรับต้นฉบับหรือระยะเวลาการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญที่สั้นมากเกินไป
  4. สำนักพิมพ์หรือเจ้าของวารสาร (Ownership and management) วารสารต้องระบุสำนักพิมพ์หรือเจ้าของวารสารอย่างชัดเจนในเว็บไซต์ และจะต้องไม่เป็นชื่อที่ทำให้ผู้เขียนเข้าใจผิดเกี่ยวกับเจ้าของวารสาร
  5. กองบรรณาธิการวารสาร (Governing body) วารสารต้องมีกองบรรณาธิการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับในวงการวิชาการและสาขาวิชาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และขอบเขตของวารสาร เว็บไซต์วารสารต้องระบุชื่อนามสกุลและสังกัดของกองบรรณาธิการอย่างครบถ้วน
  6. บรรณาธิการและข้อมูลติดต่อ (Editorial team/contact information) วารสารต้องแสดงชื่อนามสกุลของสังกัดของบรรณาธิการวารสารในเว็บไซต์ รวมทั้งข้อมูลติดต่อและที่อยู่กองบรรณาธิการแบบเต็ม (Scopus อยากได้บรรณาธิการที่มีผลงานตีพิมพ์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีล่าสุด เนื่องจากบ่งบอกสถานะทางวิชาการของบรรณาธิการได้เป็นอย่างดี)
  7. นโยบายลิขสิทธิ์ (Copyright and Licensing) นโยบายลิขสิทธิ์จะต้องระบุไว้อย่างชัดเจนในแนวทางของผู้เขียนและผู้ถือลิขสิทธิ์ที่มีชื่อในบทความที่ตีพิมพ์ทั้งหมด ข้อมูลการอนุญาตให้ใช้สิทธิจะต้องอธิบายไว้อย่างชัดเจนในเว็บไซต์ และเงื่อนไขการอนุญาตให้ใช้สิทธิจะต้องระบุไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ทั้งหมด
  8. ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ (Author fees) ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ต้องระบุไว้อย่างชัดเจนในเว็บไซต์ (เก็บเมื่อไหร่ เก็บเท่าไหร่ เก็บอย่างไร) และหากไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวควรระบุไว้อย่างชัดเจน
  9. กระบวนการระบุและการจัดการกับการประพฤติมิชอบในการวิจัย (Process for identification of and dealing with allegations of research misconduct) สํานักพิมพ์และบรรณาธิการจะต้องดำเนินการตามสมควรเพื่อป้องกันการตีพิมพ์บทความที่มีการประพฤติมิชอบในการวิจัย รวมถึงการลอกเลียนแบบ การอ้างอิง และการปลอมแปลง/การประดิษฐ์ข้อมูล เป็นต้น วารสารหรือบรรณาธิการจะต้องไม่สนับสนุนการประพฤติมิชอบดังกล่าว หรือปล่อยให้การประพฤติมิชอบดังกล่าวเกิดขึ้นโดยไม่ได้ดำเนินการใด ๆ 
  10. จริยธรรมการตีพิมพ์ (Publication Ethics) วารสารต้องมีนโยบายเกี่ยวกับจริยธรรมการตีพิมพ์ในเว็บไซต์ ประกอบด้วย 1) นโยบายความเป็นผู้เขียน (Authorship) 2) นโยบายการจัดการกับข้อร้องเรียนและการอุทธรณ์ 3) นโยบายการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อน 4) นโยบายการแบ่งปันข้อมูลและการทำซ้ำ 5) นโยบายการกำกับดูแลทางจริยธรรม 6) นโยบายทรัพย์สินทางปัญญา 7) นโยบายการพิจารณาและการแก้ไขหลังการตีพิมพ์
  11. กำหนดการตีพิมพ์ (Publishing schedule) วารสารต้องระบุระยะเวลาการตีพิมพ์ไว้อย่างชัดเจน
  12. การเข้าถึงบทความ (Access) วารสารต้องระบุรายละเอียดหรือเงื่อนไขการเข้าถึงบทความสำหรับผู้อ่าน หากมีการสมัครสมาชิกต้องระบุค่าธรรมเนียมสำหรับการอ่าน
  13. การรักษาการเข้าถึงบทความวารสาร (Archiving) วารสารต้องมีแผนการสํารองข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์และการรักษาการเข้าถึงบทความวารสารไว้อย่างชัดเจน
  14. แหล่งที่มาของรายได้ (Revenue sources) แหล่งรายได้ เช่น ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ การสมัครสมาชิก การโฆษณา การพิมพ์ซ้ำ การสนับสนุนจากสถาบัน และการสนับสนุนขององค์กร จะต้องระบุไว้อย่างชัดเจนบนเว็บไซต์วารสาร แหล่งรายได้ไม่ควรมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของบรรณาธิการ (Scopus อยากรู้ว่าบรรณาธิการทำงานอย่างไร)
  15. การโฆษณา (Advertising) วารสารต้องระบุนโยบายการโฆษณาและควรเกี่ยวข้องกับวารสาร การโฆษณาไม่ควรเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจด้านบรรณาธิการ และต้องแยกจากเนื้อหาที่เผยแพร่ หากไม่มีการโฆษณาก็ต้องบอกว่าไม่มี
  16. การตลาด (Direct marketing) กิจกรรมการตลาดทางตรงใด ๆ รวมถึงการชักชวนต้นฉบับที่ดำเนินการในนามของวารสารต้องเหมาะสม กำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างดี และไม่สร้างความรําคาญ หากไม่มีการทำการตลาดก็ต้องบอกว่าไม่มี

ที่มา: https://suggestor.step.scopus.com/suggestTitle/step1.cfm
 

นอกจากนี้ ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ ได้เสนอแนวทางการพัฒนาคุณภาพวารสารวิชาการนานาชาติ ดังนี้

  1. ควรพัฒนาคุณภาพเว็บไซต์ให้มีความเป็นสากลและมีเอกลักษณ์เฉพาะของวารสาร (หรือของประเทศไทย) เช่น ไม่ใช่ OJS บทคัดย่อกราฟิก แสดงสถิติวารสาร
  2. ควรเริ่มมีบรรณาธิการจากต่างประเทศในการพิจารณาต้นฉบับบทความ
  3. ควรปรับชื่อวารสารให้มีความเป็นสากลและแสดงถึงจุดเด่น/ศาสตร์ของวารสารที่มีขอบเขตทางวิชาการชัดเจน
  4. ควรปรับเพิ่มเติมบทความวิชาการ (Review articles และบทบรรณาธิการ (Editorial articles) เพื่อเพิ่มจำนวนการอ้างอิง
  5. ควรลดระยะเวลาในการพิจารณาบทความ
  6. ควรเน้นการพัฒนาและเพิ่มคุณภาพของบทความและความสามารถในการอ่าน (Readability

 

จริยธรรมการตีพิมพ์สำหรับบรรณาธิการ

ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ นำเสนอแนวทางการประเมินด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณวารสารวิชาการไทยในฐานข้อมูล TCI พ.ศ. 2566 ซึ่งประกาศ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม 2566 และมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมและจรรยาบรรณของวารสารวิชาการไทยในฐานข้อมูล TCI ในการดำเนินการด้านจริยธรรมของวารสาร โดยมีกระบวนการพิจารณา ดังภาพ

Scopus2025 3


ซึ่งในประกาศแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2566 บรรณาธิการต้องชี้แจงข้อร้องเรียนภายใน 7-15 วัน หากเกินกว่ากำหนดคณะกรรมการจะพิจารณาจากข้อมูลและหลักฐานที่มีอยู่ ช่วงเวลาที่ผ่านมา TCI รับเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 94 เรื่อง ด้วยประเด็นการบริหารจัดการวารสารที่ดีและโปร่งใส ดังนี้

  1. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสาร (Editor in Chief) ต้องกำกับให้การดำเนินงานและการบริหารจัดการของวารสารเป็นไปตามนโยบาย (Policy) มีวัตถุประสงค์และขอบเขต (Aims and Scope) ของการตีพิมพ์เผยแพร่บทความที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง (ไม่คลุมเครือ) ของวารสารอย่างเคร่งครัด (รวมถึงนโยบายพิเศษทันปัจจุบัน เช่น นโยบายจริยธรรมในคน แนวทางการอ้างอิง DOI และการใช้ AI ในการนิพนธ์บทความ)
  2. บุคคลที่ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารไม่ควรบริหารจัดการวารสารมากกว่า 2 วารสาร
  3. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารควรเป็นผู้ดำเนินการติดต่อประสานงานกับศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทยในเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญ เช่น เรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับนโยบาย วัตถุประสงค์ และขอบเขตของวารสาร เป็นต้น
  4. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การบริหารจัดการบทความในวารสาร มีระยะเวลาของกระบวนการพิจารณาบทความ (ตั้งแต่ วันรับ วันตรวจสอบ จนถึง วันตอบรับ) ที่เหมาะสม
  5. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารควรใช้ระบบ Online submission สำหรับการบริหารจัดการบทความในวารสารทุกขั้นตอนและหลีกเลี่ยงการบริหารจัดการบทความภายนอกระบบ
  6. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารมีการตรวจสอบความซ้ำซ้อนของเนื้อหาก่อนการตีพิมพ์เผยแพร่บทความ เช่น การใช้โปรแกรม Turnitin และ/หรือ อักขราวิสุทธิ์
  7. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารควรระบุ/ร้องขอเอกสารแสดงการมีส่วนร่วมของผู้นิพนธ์บทความ (Authorship) และความเป็นเจ้าของ (Ownership)
  8. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารกำหนดจำนวนบทความต่อฉบับให้เหมาะสมและยึดถือเป็นนโยบาย
  9. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารระบุ/แสดงการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ (Article Processing Charges: APC) ที่ชัดเจน (เงื่อนไขการเรียกเก็บและอัตรา) และวิธีการชำระค่า APC ที่โปร่งใส
  10. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารไม่ควรออกหนังสือตอบรับตีพิมพ์บทความให้แก่ผู้นิพนธ์จนกว่ากระบวนการ Peer review เสร็จสมบูรณ์
  11. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารไม่ควรนำบทความที่ตรวจพบว่า มีความผิดด้านจรรยาบรรณ (เช่น เนื้อหาซ้ำซ้อน) ซึ่งเป็นบทความที่ระบุ ปี ฉบับ และเลขหน้า พร้อมสำหรับตีพิมพ์เผยแพร่ และ/หรือ ตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว ออกจากวารสาร
  12. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารไม่ควรเห็นชอบ/ยินยอมให้ผู้นิพนธ์บทความแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงชื่อเรื่อง และ/หรือ เนื้อหาของบทความ รวมทั้งขอลดหรือเพิ่มรายชื่อผู้นิพนธ์ร่วมท่านอื่น นอกเหนือจากรายชื่อที่ได้ปรากฏในบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่แล้ว
  13. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารไม่นำบทความของบุคคลอื่นมาตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสารของตนโดยปราศจากการยินยอมของผู้นิพนธ์
  14. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารควรกำกับให้การดำเนินงานของวารสารมีเจ้าของวารสารเป็นหน่วยงานของรัฐ และ/หรือ องค์กรอื่น ๆ ใด ที่มีสถานที่ตั้ง รวมถึงสามารถเข้าถึงข้อมูลขององค์กรนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจนและน่าเชื่อถือ
  15. หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสารต้องกำกับให้การดำเนินงานของวารสารหมั่นตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดภายในวารสารของตนอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันมิจฉาชีพคัดลอกข้อมูลวารสารไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากทั้งต่อตัวผู้นิพนธ์บทความ วารสาร และวงการวิชาการ


3 สิ่งสำคัญสำหรับการจัดทำวารสารวิชาการที่มีมาตรฐาน

  1. วารสารต้องเผยแพร่บทความ(ที่ผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ) อย่างสม่ำเสมอ (Regularity) ตรงตามกำหนดที่ระบุไว้ในนโยบายของวารสาร
  2. วารสารต้องมีกระบวนการตรวจสอบและพิจารณาคุณภาพของบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่โดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review process) ในสาขาวิชาการที่สอดคล้องกับสาขาของบทความ
  3. วารสารต้องจัดให้มีกองบรรณาธิการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องกับ Aims and Scope Scope ของวารสารและกำกับให้วารสารดำเนินการอย่างถูกต้องตามหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการ และควรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหลากหลายหน่วยงาน

ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ ย้ำว่า ถ้า 3 ข้อนี้ทำได้ ข้ออื่น ๆ ที่เหลือ...ก็ banana ครับ อย่างไรก็ตาม มุมมองหรือข้อห่วงกังวลที่ ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ มีกับวารสารวิชาการไทยและนำเสนอไว้มีดังนี้

  1. วารสารไทยและภูมิภาคเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดำเนินการโดยหน่วยงานและสถาบันการศึกษา ซึ่งสวนทางกับแนวทางของวารสารส่วนมากในระดับสากลที่ดำเนินการดยภาคเอกชน
  2. แต่ละสถาบัน/มหาวิทยาลัย ดำเนินการจัดทำวารสารโดยใช้ศาสตร์คณะวิชา/ภาควิชาเป็นตัวตั้ง และในบางมหาวิทยาลัยมีจำนวนวารสารหลายรายการที่มี Aims/Scope ที่คล้ายคลึงกัน
  3. วารสารไทยมีความเป็น Self-identity มากเกินไป เช่น ใช้ชื่อหน่วยงาน/สถาบัน เป็นส่วนหนึ่งของชื่อวารสาร
  4. วารสารไทยมีลักษณะที่เป็นสหวิทยาการเกินพอดี (over-multidisciplinary) ที่ไม่ถูกต้อง กล่าวคือ ตีพิมพ์บทความจากหลากหลายสาขามากเกินไป เช่น ตีพิมพ์บทความทาง Science & Technology, Social sciences และ Humanities
  5. วารสารมี Chief Editor ตามตำแหน่งบริหาร ซึ่งขาดความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในการจัดการวารสาร ตั้งแต่การตั้ง Aims and scope / การเลือก Editorial Board / การตรวจสอบคุณภาพบทความ (Editorial and peer reviews) / การจัดพิมพ์บทความ (Production) ตามกำหนดเวลาที่ชัดเจน รวมถึงการนำเสนอข้อมูลบนเว็บไซต์
  6. การบริหารงานของวารสารขาดความเป็นอิสระและถูกแทรกแซงจากผู้บริหารและคนในองค์กร ด้านผลประโยชน์ทางวิชาการ เช่น เผยแพร่บทความของผู้บริหาร / คนในองค์กรที่ไม่ผ่านกระบวนการ Peer review ที่เข้มข้น
  7. กองบรรณาธิการไม่มีความเข้าใจถึงพื้นฐานของ Journal Metrics (Citation Indexes, Quartiles) หรือแนวทางการพัฒนาวารสารให้มีคุณภาพและมีความเป็นสากล
  8. วารสารดำเนินการเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากเกณฑ์มาตรฐานการจบการศึกษา การเลื่อนขั้นเงินเดือน และเกณฑ์การขอตำแหน่งทางวิชาการ ผ่านการเรียกเก็บค่า Article processing charges (APC) ปัจจุบันเริ่มเห็นวารสารที่ดำเนินการโดยบุคคลเดียวหรือกลุ่มบุคคลโดยใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด
  9. นักวิจัยและบรรณาธิการวารสาร ไม่ตระหนักถึงการดำเนินงานด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณทางวิชาการ (ทำให้ต้องมีประกาศด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณฯ ของ TCI ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา)
  10. ผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการจัดทำวารสาร ไม่จัดระเบียบและงบประมาณที่เพียงพอสำหรับการดำเนินงาน

 

การพัฒนาระบบ Editorial Review – Peer Review – Decision Making

ศ.ดร.ณรงค์ฤทธิ์ สมบัติสมภพ ได้นำเสนอระบบ Editorial Review – Peer Review – Decision Making สำหรับเป็นแนวทางให้บรรณาธิการวารสารพัฒนากระบวนการกลั่นกรองบทความให้มีคุณภาพสูงขึ้นเพื่อเพิ่มคุณค่าผลงานวิชาการของประเทศไทย ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการดำเนินงานวารสารในระดับสากล ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1) การคัดกรองเบื้องต้นโดยบรรณาธิการ (Editorial Review) 2) การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขา (Peer Review) 3) การตัดสินใจของบรรณาธิการ (Decision Making) สำหรับรายละเอียดแต่ละขั้นตอน มีดังนี้

scopus2025 4

การคัดกรองเบื้องต้นโดยบรรณาธิการ (Editorial Review: Screening)

การคัดกรองเบื้องต้นโดยบรรณาธิการ คือ การคัดกรองเบื้องต้นโดยบรรณาธิการ (Editor-in-Chief) เพื่อตัดสินใจว่าควรส่งบทความออกไปให้ผู้เชี่ยวชาญในสาขาตรวจสอบหรือไม่ ขั้นตอนนี้บรรณาธิการต้องเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเอง อย่างไรก็ตาม หากมีบทความจำนวนมาก หรือวารสารตีพิมพ์หลากหลายสาขาบรรณาธิการอาจแต่งตั้งและมอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่รองบรรณาธิการ (Associate Editor) ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในสาขาที่สอดคล้องกับบทความเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งผลลัพธ์การตัดสินใจมี 2 ตัวเลือก คือ 1) การปฏิเสธบทความ (Desk rejection) (ไม่ควรน้อยกว่า 60%) และ 2) บทความเข้าสู่กระบวนการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ (Peer review process) โดยหลักเกณฑ์การคัดกรองเบื้องต้น ดังนี้ 

  1. บทคัดย่อ (Abstract): การใช้ภาษาอังกฤษไม่ถูกต้องและไม่มีผลการวิจัย
  2. รูปแบบ (Formats): ไม่เป็นไปตามที่วารสารกำหนด "คำแนะนำสำหรับผู้เขียน" 
  3. การลอกเลียน (Plagiarism): เปอร์เซ็นต์การคัดลอกเกินกว่าที่กำหนด (20-25% อยู่ในระดับที่เหมาะสม) การตรวจการคัดลอกควรมุ่งเน้นในส่วนของบทนำ วิธีดำเนินการวิจัย ผลการวิจัย และอภิปรายผล ไม่ควรตรวจหน้าแรกของบทความ และรายการเอกสารอ้างอิง
  4. จริยธรรม (Ethics) การขอจริยธรรมในมนุษย์และสัตว์ การลงทะเบียนการทดลองทางคลินิก รวมทั้งการขอใช้ภาพจากผลงานอื่นอย่างถูกต้อง
  5. คำถามและคำตอบของการวิจัย (Research questions and answers): ไม่สอดคล้องกัน 
  6. ความสามารถในการอ่าน (Readabilities): การใช้ภาษาไม่ถูกต้อง รูปภาพและตารางไม่ชัดเจน
  7. การอ้างอิง (Cited references): รายการอ้างอิงไม่เป็นปัจจุบัน อ้างอิงผลงานตนเองมากเกินไป ไม่ควรอ้างอิงเว็บไซต์ (การคงอยู่ในระยะยาว) และความถูกต้องของการอ้างอิง
  8. ชื่อผู้ประพันธ์ (Authorships): การซื้อชื่อผู้เขียน พิจารณาจากสาขาบทความกับผู้เขียนไม่สอดคล้องกัน
  9. ความน่าเชื่อถือของผลลัพธ์ (Reliabilities of the results): ความถูกต้องและความแม่นยำทางสถิติ
  10. ความแปลกใหม่ (Novelty): ถ้ามีจะดีมาก

"หากไม่ผ่านข้อใดข้อหนึ่งหรือมากกว่าข้างต้น บทความควรได้รับการปฏิเสธที่โต๊ะบรรณาธิการ"

ประโยชน์ของการคัดกรองเบื้องต้นโดยบรรณาธิการ คือ การช่วยลดภาระของกองบรรณาธิการ ลดระยะเวลารอคอยของผู้เขียน และลดภาระงานของผู้เชี่ยวชาญในการประเมินบทความ

 

การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขา (Peer Review: Recommendations)

การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขา คือ การตรวจสอบทางเทคนิคโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญอิสระในสาขานั้น ๆ ในแง่ของความถูกต้อง ความใหม่ และความน่าเชื่อถือของผลงาน เพื่อให้ข้อมูลเชิงวิชาการในการพิจารณาและตัดสินใจของบรรณาธิการ โดยการให้ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นบ่งบอกความเข้มข้นของการประเมิน ประกอบด้วย 4 แนวทาง ดังนี้

  1. รับตีพิมพ์โดยไม่ต้องแก้ไข (Accept) ไม่ควรมี เพราะไม่มีบทความไหนสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น
  2. รับตีพิมพ์โดยมีการแก้ไขเล็กน้อย (Minor revision required) บทความมีความบกพร่องเพียงเล็กน้อยสามารถแก้ไขแล้วตีพิมพ์ได้ (เช่น ภาพไม่ชัด ภาษาไม่ดี ขาดการอ้างอิงบางจุด บทคัดย่อยาวเกินไป การทบทวนวรรณกรรมไม่ครบถ้วน อ้างอิงน้อยเกินไป ผลการวิจัยไม่ครอบคลุม อธิบายผลการวิจัยผิด สรุปผลไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์)
  3. รับตีพิมพ์โดยมีการแก้ไขอย่างมาก (Major revision required) บทความมีความบกพร่องจำนวนมากแต่หากแก้ไขแล้วสามารถตีพิมพ์ได้ (เช่น ไม่มีการวิเคราะห์ผล ไม่มีการอภิปรายผล) ทั้งนี้อาจส่งให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบบทความหลังการแก้ไขอีกครั้ง
  4. ไม่รับตีพิมพ์ (Reject) บทความมีข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ (เช่น ใช้สมการผิด ไม่มีความใหม่ คัดลอกผลงานอื่น ตั้งโจทย์วิจัยผิด ใช้เครื่องมือวิจัยผิด)

บรรณาธิการควรมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ กรณีที่มีข้อเสนอแนะไม่เพียงพอบรรณาธิการควรให้ข้อคิดเห็นสนับสนุนเพิ่มเติม

 

การตัดสินใจของบรรณาธิการ (Decision Making: EIC’s Decision)

การตัดสินใจของบรรณาธิการ คือ การตัดสินใจสุดท้ายของบรรณาธิการโดยอ้างอิงข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ มีแนวทางและขั้นตอน ดังนี้

  1. พิจารณาข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ประเมินในภาพรวม
  2. แยกแยะประเด็นที่มีความสำคัญเชิงวิชาการออกจากประเด็นที่ไม่มีความสำคัญเชิงวิชาการ
  3. ตัดสินใจขั้นสุดท้าย โดยมี 4 แนวทาง ดังนี้
    1. รับตีพิมพ์โดยไม่ต้องแก้ไข (Accept) ไม่ควรมี เพราะไม่มีบทความไหนสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้น
    2. รับตีพิมพ์โดยมีการแก้ไขเล็กน้อย (Minor revision required)
    3. รับตีพิมพ์โดยมีการแก้ไขอย่างมาก (Major revision required)
    4. ไม่รับตีพิมพ์ (Reject)
  4. กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนสำหรับการแก้ไขบทความของผู้เขียน
  5. ในบางกรณีควรระบุข้อคิดเห็นที่เป็นข้อบังคับ (compulsory comments) และข้อคิดเห็นที่เป็นทางเลือก (optional comments) ให้ชัดเจนต่อผู้เขียน
  6. หากผู้เขียนไม่เห็นด้วยหรือไม่ปฏิบัติตามข้อคิดเห็นที่เป็นข้อบังคับ ควรดำเนินการส่งบทความเข้าสู่การประเมินอีกครั้ง (re-review)
  7. ในกรณีที่ข้อเสนอแนะของผู้ประเมินสองท่านมีความขัดแย้งกัน บรรณาธิการหรือรองบรรณาธิการต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
  8. การประเมินรอบที่ 2 (2nd round review) มักจะมีความจำเป็นสำหรับบทความที่ได้รับข้อเสนอให้แก้ไขอย่างมาก (major revision) แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกกรณี อย่างไรก็ตาม หากมีการประเมินรอบที่ 2 ผลการตัดสินควรปรับไปสู่ “แก้ไขเล็กน้อย (minor revision)” หรือ “รับตีพิมพ์ (accept)” หลังจากผู้เขียนได้ดำเนินการแก้ไขแล้ว
  9. บรรณาธิการควรดำเนินการตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยความชัดเจน โปร่งใส และเป็นไปตามหลักจริยธรรมทางวิชาการ
  10. ในบางกรณีผู้เขียนอาจยื่นอุทธรณ์ต่อผลการประเมินได้ แต่การตัดสินใจว่าจะดำเนินการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่เป็นอำนาจของบรรณาธิการ

ขอให้ผู้ปฏิบัติงานวารสารวิชาการมีความสุขกับการยกระดับคุณภาพวารสารวิชาการสู่ความเป็นสากลครับผม

Rating

Average: 5 (1 vote)