วิ่งสู่ชีวิตใหม่ (Running Diary)

 

29 ก.พ. 2559 คือวันแรกที่เริ่มต้นกลับมาออกกำลังกายด้วยการวิ่งอีกครั้ง อันเนื่องมาจากการที่จิตใจกับร่างกายเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ไหวแล้วนะ ถ้ายังปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปแบบนี้ อนาคตทำท่าจะรุ่งริ่งแน่ๆ ปลายปี 58 ถึงต้นปี 59 ไม่สบายบ่อยมาก เป็นคนที่เจ็บคอตลอดเวลา ร่างกายไม่แข็งแรงเลย เหนื่อยหอบกับการเดินสั้นๆ และที่แย่สุดๆ เสียความรู้สึกที่สุด และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญก็คือการที่เราไม่สามารถจะอุ้มลูกสาวที่เพิ่งมีอายุเพียงขวบกว่าๆ ได้นานพอ... 


 

จำได้ชัดเจนว่าตอนนั้นน้ำหนักตัวขึ้นไปแตะที่ 94 กิโลกรัม มากที่สุดในชีวิต วันนั้นวิ่งได้ทั้งสิ้น 1.6 กิโลเมตรถ้วน ใช้เวลาไปทั้งสิ้น 28 นาที หัวใจจะวายตายคาสนามให้จงได้ อาจจะดูว่าเยอะนะกับการที่เพิ่งเริ่มวิ่งแล้วทำได้ถึง 4 รอบสนาม อันที่จริงคือบุญเก่าทั้งนั้น เพราะเมื่อก่อน (10 ปีก่อน) เป็นคนที่ออกกำลังกายโดยการวิ่งอยู่บ้าง เตะฟุตบอลอยู่ตลอด จึงพอเข้าใจหลักของการออกกำลังกายที่ถูกต้อง ทำให้ยังพาร่างอ้วนๆ ไปได้

 

 

แม้ว่าจะเหนื่อยและได้รับบาดเจ็บอย่างมากในช่วงแรก (ปวดส้นเท้าซ้ายและหน้าแข้งขวา) แต่ก็ไม่ท้อและไม่หยุดวิ่ง เพราะตั้งใจว่าจะต้องทำให้ได้จริงๆ สักทีกับการลดน้ำหนักตัวลง โดยช่วงนี้เริ่มอดอาหารมื้อเย็นไปด้วย อดคืออดจริงๆ นะ นั่นคือไม่แตะเลย กินแต่น้ำเปล่าเท่านั้น ควบคู่ไปกับการปั่นจักรยานตอนเช้าและวิ่งในตอนเย็น ผลก็เห็นทันตา น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องเหมือนคนไม่สบาย แต่จริงๆ แล้วเราสบายดี เราไหว และรู้สึกดีมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต รู้สึกว่าทำได้นี่หว่า ไม่เห็นยากเหมือนที่ใครๆ ชอบพูดกัน ถามว่าหิวมั้ยก็ตอบตามตรงว่าหิวมากเหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาตลอด 10 กว่าปีนั้น มื้อเย็นคือมื้อหนักของเรา เป็นช่วงที่ได้ปลดปล่อยจากความเหนื่อยล้ามาทั้งวันด้วยการกิน แต่เราหักดิบและเลือกปลดปล่อยมันด้วยการเอาพลังงานที่ตุนอยู่มาใช้ ก็อยู่ได้นะ พอเหงื่อออก สมองมันก็โล่ง รู้สึกสบายตัวขึ้น ความเหนื่อยทำให้เราเพลีย ผลก็คือเข้านอนเร็วเวลาหิวก็เลยมีแปปเดียว แถมได้ตื่นเช้าไปปั่นสูดอากาศสดชื่นอีก กลับมาชั่งน้ำหนักทุกๆ เช้าก็พบว่าน้ำหนักตัวลดลงตามเป้า ก็ตั้งเป้าหมายใหม่ต่อไปได้เรื่อยๆ หุ่นเริ่มดีขึ้น กำลังใจก็มากขึ้น บอกกับตัวเองว่าเราทำได้ เรามาถูกทาง

 

 

5 เดือนผ่านไป กรกฎาคมน้ำหนักตัวจาก 94 ลดลงมาอยู่ที่ 65 กิโลกรัม หายไปเกือบ 30 กิโล ชีวิตเปลี่ยนจริงๆ ตั้งแต่เสื้อผ้าโละกันยกตู้ ชุดทำงานเก่าๆ กลับมาใส่ได้ทั้งหมด กางเกงทำงานต้องเอาไปเข้าทรงใหม่ ร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม ฟิตขึ้น วิ่งเล่นกับลูกได้สบาย แถมไม่ป่วยหรือเป็นไข้หวัดอีกเลย ที่สำคัญคือรักการวิ่งขึ้นมาก ไม่คิดว่าการวิ่งจะเปลี่ยนชีวิตเราได้ถึงเพียงนี้ เวลาวิ่งเราได้อยู่กับตัวเอง ได้ใช้เวลาขณะวิ่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในรอบวันหรือช่วงที่ผ่านมา และวางแผนชีวิตในวันต่อๆ ไป พอวิ่งจบความสุขมันเกิดทันที เพราะเราทำได้ตามที่ตั้งใจ เราวิ่งได้ระยะแสดงว่าเราแข็งแรงขึ้น เป็นความสุขที่ชนะใจตัวเอง อิ่มเอมใจกับกำไรที่เป็นผลมาจากการลงทุนของเรา 

 

 

จากนั้นก็เริ่มกล้าที่จะสมัครแข่งขันวิ่งในรายการต่างๆ ตั้งแต่ระยะสั้น 3-5 กิโลเมตรไปจนถึงระยะ 10 กิโลเมตร หรือ มินิมาราธอน ซึ่งเป็นอะไรที่สนุกมากเพราะได้เจอคนกลุ่มเดียวกันที่มีความคิดหรืออินในเรื่องเดียวกัน เป็นบรรยากาศของสังคมที่ช่วยเหลือแบ่งปันซึ่งกันและกัน ซึ่งน่ารักมากๆ 

 

 

 

สิงหาคม เป็นเดือนแรกที่เริ่มกลับมาทานมื้อเย็นอีกครั้ง โดยเน้นไปที่สลัดกับน้ำเต้าหู้ ซึ่งหาได้ง่ายที่สุด โดยพยายามควบคุมน้ำหนักให้อยู่ระหว่าง 66.5-67.5 กิโลกรัม ไม่ลดลงหรือเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ และหันมาสนใจการพัฒนากล้ามเนื้อช่วงแขนและหน้าท้องให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้ดูผอมบางเก้งก้างเกินไป แต่เอาจริงๆ ไอ้การสร้างกล้ามเนื้อนี่มันยากกว่าลดน้ำหนักอีกนะ นั่นคือต้องมีระเบียบวินัยในเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างมาก แถมยังต้องแบ่งเวลาเข้ายิมหรือฟิตเนส เพื่อเล่นอุปกรณ์ที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อโดยตรงอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ชอบเลยแต่ก็จะพยายามทำให้ได้

 

 

ธันวาคม เดือนสุดท้ายของปี 2559 และวันนี้ 28 ธ.ค. คงเป็นวันสุดท้ายของปีนี้แล้วที่ได้วิ่ง รวมระยะทางที่วิ่งไปทั้งสิ้นตลอดช่วงปีที่ผ่านมาคือ 1,213 กิโลเมตร (เลขสวยมาก) ใช้เวลาทั้งสิ้น 135 ชั่วโมง 59 นาที บนน้ำหนักตัว 67 กิโลกรัม สำหรับนักวิ่งมือใหม่ดีใจที่สุดที่ทำได้ถึงเพียงนี้ และสัญญาว่าจะวิ่งต่อไปในปีหน้าและตลอดไปตราบเท่าที่ยังมีแรงวิ่งไหว

 

 

ขอบคุณครอบครัวที่เป็นทั้งแรงบันดาลใจและใจบันดาลแรง คอยให้กำลังใจและสนับสนุนสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปทุกๆ อย่าง จนช่วยให้เราได้ชีวิตที่ดีกลับคืนมา

ขอบคุณตัวเองที่คิดได้ทำได้ จนกลับมามีความสุขกับการออกกำลังกายและดูแลสุขภาพอีกครั้ง

ขอบคุณการวิ่งที่ให้อะไรหลายๆ อย่างแก่ตัวเรา การวิ่งพาเรามาสู่ชีวิตใหม่ “ไม่คิดเลยว่าจะรักการวิ่งได้ถึงเพียงนี้” เหมือนที่เขาว่าจริงๆ 

และขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ทุกคนที่กำลังคิดหันมาดูแลสุขภาพโดยการวิ่งหรือออกกำลังกายด้วยกีฬาประเภทอื่น ทำเถอะครับ ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้น ทำได้แน่นอน เราแข็งแรง ครอบครัวเราก็จะแข็งแรงยิ่งขึ้น จะมีความสุขไปกับการใช้ชีวิต และเกิดความคิดดีๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อครอบครัวและสังคมได้อีกมาก

 

 

สวัสดีปีใหม่ครับ...

28.12.59

 

#วิ่งสู่ชีวิตใหม่

#running 

#runforyou 

#livestrong

 

Rating

Average: 1.5 (2 votes)